{alertSuccess}เกาะบราวน์ซี ( Brownsea Island )
จุดกำเนิดของการลูกเสือโลก
ศิลาจารึกที่เกาะบราวน์ซี อนุสรณ์ค่ายลูกเสือแห่งแรกของโลก ซึ่งบี.พี. ใช้ฝึกอบรมลูกเสือ
1 – 9 สิงหาคม พ.ศ. 2450 (Scouts Canada. 1977)
{alertInfo}บทนำ
บทนำแห่งประวัติศาสตร์ของการลูกเสือโลก ได้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2450 เมื่อนายทหารแห่งกองทัพบกอังกฤษผู้หนึ่ง คือ พลโทโรเบิร์ต เบเดน เพาเวลล์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นจเรทหารม้าแห่งกรมทหารม้ารักษาพระองค์ ฯ ได้ตัดสินใจนำเด็ก ๆ จำนวน 20 คน ไปอยู่ที่ค่ายพักแรมทดลอง(Experimental Camp) ที่เกาะบราวน์ซี ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ที่ปากอ่าวเมืองพูล (Poole Harbour) ตั้งแต่วันที่ 1 – 9 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ค่ายพักแรมของเด็กนี้ จึงถือว่าเป็นลูกเสือแห่งแรกของโลก (The World, first Scout Camp) (Charles Maclean. 1961 )
เด็กทุกคนในจำนวนนี้ ไม่มีใครคาดฝันว่าจะต้องเดินทางไปอยู่ค่ายพักแรมในสมัยนั้นเพราะผู้ที่จะไปเข้าค่ายฯ มีแต่ทหารเท่านั้นเหนือสิ่งอื่นใดในความคิดคำนึงของเด็ก ๆ เหล่านี้ก็คือ ความตื่นเต้นและมหัศจรรย์ที่ได้มีโอกาสสัมผัสและใกล้ชิดกับวีรบุรุษผู้กล้าหาญแห่งยุค ผู้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ไว้ที่เมืองมัฟฟีคิง( Mafeking ) ในแอฟริกาใต้ยากที่จะมีผู้มาเปรียบเสมอเหมือนได้ จนเลื่องลือไปทั่วประเทศอังกฤษในสมัยนั้น เขาผู้นี้ก็คือ พลโทโรเบิร์ต เบเดน เพาเวลล์ นั่นเอง ( ซึ่งต่อไปจะเรียกชื่อสั้น ๆ ว่า บี.พี.) ผู้สร้างวีรกรรมในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ปี บี.พี. ได้คุมกำลังทหารอังกฤษ ซึ่งมีจำนวนเพียงเล็กน้อย ( 750 คน ) ทำการต่อสู้รักษาเมืองมัฟฟีคิงให้รอดพ้นจากวงล้อมและการบุกโจมตีของกองทัพข้าศึก คือ กองทัพของโบเออร์ ( Boer – คือ ชาวดัทซ์ ที่อยู่ในแอฟริกาใต้ ) ซึ่งมีอาวุธครบครัน มีกำลังพลมากกว่ากองทหารของบี.พี. อย่างมหาศาล สุดที่จะเปรียบเทียบกันได้ (คือ มีจำนวนทหารถึง 9,000 คน) ในสงครามโบเออร์ ( Boer War ) จึงนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อที่ บี.พี. คุมกำลังเพียงน้อยนิด ต่อสู้ป้องกันเมืองมัฟฟีคิง ซึ่งเป็นเมืองที่สำคัญอยู่ติดกับชายแดนของทรานสวาล และกำลังมีข้อพิพาทกันระหว่างอังกฤษกับโบเออร์ แต่ด้วยความมีไหวพริบ เฉลียวฉลาด อัจฉริยะ บวกกับความสามารถและความกล้าหาญ บี.พี. จึงสามารถรักษาเมือง ฯ ให้รอดพ้นอยู่ได้นานถึง 217 วัน (ตั้งแต่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2442 ถึง 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 ) จนกระทั่งประเทศอังกฤษส่งกองทัพไปช่วยทันเวลา กองทัพข้าศึกที่บุกล้อมจึงแตกพ่ายกลับไป ชื่อเสียงของ บี.พี. จึงโด่งดังมาก ไม่เพียงแต่ในประเทศอังกฤษเท่านั้น แต่ประชาชน ทั่วโลก ต่างก็แซ่ซ้องสรรเสริญวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของ บี.พี. ครั้งนี้ (Charles Maclean. 1961 )
-----------------------------------
{alertInfo}วัตถุประสงค์ที่นำเด็กไปอยู่ค่ายพักแรมทดลอง
บี.พี. ต้องการทดสอบความคิดของตนที่ได้วางแผนไว้สำหรับฝึกอบรมเด็ก ๆ แห่งสมาคมเด็กต่าง ๆในประเทศอังกฤษในขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาคมเด็กชื่อ Boys, Brigade ซึ่งมีสมาชิกถึง 54,000 คน ผู้ก่อตั้งสมาคมนี้ คือ เซอร์ วิลเลียม สมิธ ( Sir William Smith ) เซอร์ วิลเลียม สมิธ ได้เชิญ บี.พี. ไปตรวจเยี่ยม และให้คำแนะนำแก่สมาคมแห่งนี้ ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิที่เพียบพร้อมด้วยประสบการณ์ในการฝึกเยาวชน และในฐานะแขกผู้มีเกียรติอันสูงส่ง บี.พี. รับเชิญด้วยความยินดี ได้ไปแสดงปาถกฐา และให้โอวาทแก่เด็ก ๆ ของสมาคม ฯ จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าหากได้จัดแผนการฝึกอบรมเด็ก ๆ ที่เหมาะสมสามารถทำให้เด็กมีความสนใจ ตื่นเต้น สนุกสนานได้ ก็จะสามารถเรียกเด็กเข้ารับการฝึกอบรมได้มากกว่านี้ เป็นจำนวนหลายสิบเท่าทีเดียว
เมื่อ บี.พี. ได้รับการขอร้องให้ช่วยจัดทำแผนการฝึกอบรมเด็กให้แก่สมาคม ฯ บี.พี. จึงได้เกิดความคิดเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า ในขณะที่ บี.พี. เป็นนายทหารอยู่ที่ประเทศอินเดีย ได้เขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่ง คือ “ Aids to Scouting ” ( คู่มือการสอดแนม ) ซึ่งได้ใช้เป็นคู่มือในการฝึกทหารหนุ่มในประเทศอินเดีย จนประสบผลสำเร็จตามความมุ่งหมายอย่างดีเยี่ยม และจากวิธีการต่าง ๆ รวมทั้งกลวิธีจากคู่มือเล่มนี้ บี.พี.ได้นำมาใช้ปฏิบัติจริง ๆอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อได้รับมอบหมายหน้าที่จากกองทัพบกอังกฤษให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในแอฟริกาใต้ และที่เมืองมัฟฟีคิง จนประสบความสำเร็จทุกประการ (Rex Hazelwood. 1961)
แต่ บี.พี. ก็คิดว่าหนังสือเล่มนี้ “Aids to Scouting “ เหมาะสำหรับการฝึกทหารเท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับการที่จะนำมาฝึกอบรมเด็ก ๆ จึงคิดเขียนหนังสือขึ้นมาใหม่อีกเล่มหนึ่งให้ชื่อว่า “ Scouting for Boys “ ซึ่งแปลว่า “ การลูกเสือสำหรับเด็กชาย “ หนังสือเล่มนี้จึงกลายมาเป็นคู่มือวิชาการลูกเสือที่เป็นแบบฉบับของการฝึกอบรมลูกเสือมาจนถึงทุกวันนี้
บี.พี. จึงเริ่มต้นเขียนหนังสือเรื่อง “ การลูกเสือสำหรับเด็กชาย ” ในปี พ.ศ. 2450 โดยพิมพ์ออกจำหน่ายเป็นรายปักษ์ ในราคาที่ถูกมาก เพื่อให้เด็ก ๆ ทุกคนสามารถซื้ออ่านได้ แต่ก่อนที่จะส่งต้นฉบับของฉบับสุดท้ายเข้าโรงพิมพ์ บี.พี. คิดว่า แผนการฝึกอบรมเด็กนี้ ควรจะต้องได้รับการทดสอบและทดลองปฏิบัติอยู่ค่ายพักแรมจริง ๆ เสียก่อน ว่าจะได้ผลสำเร็จเพียงไร
-----------------------------------
{alertInfo}การดำเนินงาน
ดังนี้น บี.พี. จึงได้ติดต่อกับพ่อแม่ของเด็กผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 11 – 15 ปี ในกรุงลอนดอน เมืองพูล และเมืองบอร์เม้าท์ ( Bournmouth ) ขอให้ส่งลูกชายไปอยู่ค่ายพักแรม ซึ่ง บี.พี. จะจัดขึ้นที่เกาะบราวน์ซี ปากอ่าวเมืองพูล ตั้งแต่วันที่ 1 – 9 สิงหาคม พ.ศ. 2450 เด็กเหล่านั้นมาจากครอบครัวที่มีฐานแตกต่างกันเด็กบางคนมาจากโรงเรียนอีตัน (เป็นโรงเรียนกินนอนที่มีชื่อเสียงมากคล้ายกับโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย) บางคนเป็นลูกชาวนา บ้างก็เป็นเด็กบ้านนอก บ้างก็มาจากร้านค้า และมาคละกันอยู่ค่ายพักแรมร่วมกัน โดยที่เด็ก ๆ เหล่านั้นมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน บี.พี. ต้องการใช้สถานที่สงบเงียบในการฝึกอบรมเด็ก ไม่ต้องการให้มีนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ไปรบกวน และไม่อยากให้ชาวบ้านไปมุงดูกันเป็นของสนุกสนานจึงสามารถจะใช้เป็นค่ายสำหรับทดลองการอยู่ค่ายพักแรมตามอุดมการณ์ได้อย่างแท้จริง
บี.พี. พิจารณาเห็นว่า เกาะบราวน์ซี เหมาะสมที่สุด เพราะเป็นเกาะเล็ก มีทะเลล้อมรอบ มีธรรมชาติสวยงาม ภูมิประเทศเหมาะสำหรับการฝึกอบรม โดยเฉพาะมีทั้งที่ราบประปรายไปด้วยป่าละเมาะ มีทั้งป่าใหญ่ และหนองน้ำ ทะเลสาบ อันเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า และนกนานาชนิด ปราศจากการรบกวนของบรรดาพรานล่าสัตว์ ยิงนก ตกปลาทั้งหลาย ซึ่งสามารถใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมได้ทั้งบนบกและทางน้ำเป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ บี.พี. จึงได้ตัดสินใจใช้เกาะบราวน์ซี เป็นสถานที่อยู่ค่ายพักแรม ของเด็ก ๆ เพื่อทดลองแผนการฝึกเด็กในครั้งนี้ ในตอนเย็นของวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2450 เด็ก 20 คน ที่ได้ติดต่อไป ก็มารวมอยู่ที่เกาะบราวน์ซีใช้เต็นท์ทหารเป็นรูปคล้ายระฆังเป็นที่พักสำหรับเด็ก ๆ บี.พี. ได้นำเอาหลานชายคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุเพียง 9 ขวบ ไปร่วมด้วย คอยทำหน้าที่ช่วยเหลือรับใช้ บี.พี. เสมือนทหารคนสนิท
มีบุคคล 2 คน ซึ่งต่อมาเป็นคนสำคัญในการสืบทอดเจตนารมณ์ทางการลูกเสือของบี.พี. คือ นายอาเธอร์ พริมเมอร์ ( Mr. Arthur Primmer ) กับ นายเทอรี่ บอนฟิลด์ ( Mr. Terry Bonfield ) ซึ่งก็เป็นเด็ก 2 คน ในจำนวน 20 คนนั้น ( Scouts Canada. 1977)
-----------------------------------
{alertInfo}วิธีการฝึกอบรม
บี.พี. แบ่งเด็ก 20 คน ออกเป็น 4 หมู่ ๆ ละ 5 คน มีหมู่นกเคอร์ลิว หมู่นกดุเหว่า หมู่หมาป่า หมู่วัว โดยจัดให้คนที่มีอายุมากที่สุดในหมู่เป็นนายหมู่ นายหมู่แต่ละคนมีไม้พลอง พร้อมด้วยธงรูปสัตว์ ประจำหมู่ ผูกติดที่ปลายพลอง เด็กทุกคนมีเครื่องหมายเฟลอร์เดอลีส์ทำด้วยสักกะหลาดติดที่หน้าหมวก
ในวันแรกของการฝึกอบรม ฯ บี.พี. ชี้แจงถึงกิจวัตรประจำวัน หน้าที่ของแต่ละคน และกิจกรรมที่จะต้องปฏิบัติในวันแรกของ บี.พี. ได้วางแผนกิจกรรมแต่ละวันเป็นอย่างดีและควบคุมกิจกรรมด้วยตนเอง แต่ละวันบี.พี. ต้องประชุมร่วมกับนายหมู่ และทบทวนกำหนดการฝึกอบรมของวันรุ่งขึ้นกับนายหมู่ และสอนทักษะสำหรับกิจกรรมนั้นๆ แก่นายหมู่เป็นพิเศษ นายหมู่ต้องรับผิดชอบหมู่ของตน และสอนลูกหมู่จนสำเร็จ
สิ่งที่น่าจดจำเป็นพิเศษ แผนการฝึก ฯ ของบี.พี. มีวิธีการฝึกที่ทำให้เด็ก ๆ สนุกสนาน ไม่เบื่อหน่าย มีกิจกรรมที่เร้าใจ และน่าตื่นเต้นทุกกิจกรรม เช่น สอนวิชาพิจารณา สังเกตและจำ อาจสอนเรื่องการสะกดรอย บี.พี. สามารถทำให้เด็ก ๆ เรียนรู้ถึงสถานการณ์และอนุมานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับเป็นเรื่องเป็นราวจากรอยเท้าในลักษณะต่างๆ แล้วต่อด้วยการเล่นเกมสะกดรอย แม้แต่ตอนกลางคืน บี.พี. ก็มักจะสร้างสถานการณ์ตลอดเวลา มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับการบุกรุกด้วยวิธีการต่างๆ โดยไม่ให้รู้ตัว บางหมู่อาจได้รับคำสั่งให้เดินทางออกไปศึกษาและสำรวจสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งนอกค่าย ฯ ในตอนกลางคืน และให้พักแรมโดยสร้างที่พักขึ้นเอง เพื่อการฝึกการใช้ชีวิตในป่า กิจกรรมต่าง ๆ มีทั้งกิจกรรมบนบก และกิจกรรมทางน้ำนี้เองที่นำไปสู่การลูกเสือสมุทร (Sea Scouts) ในโอกาสต่อมา
สรุปแล้ว กิจกรรมทุกกิจกรรม บี.พี. มุ่งหมายที่จะสร้างลักษณะที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก ตามแบบฉบับของอัศวินในสมัยก่อน คือ ฝึกให้มีความกล้าหาญ มีคุณธรรม สุภาพ อ่อนโยน ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่อ่อนแอกว่า ฯลฯ แต่ที่สำคัญก็คือ ทุกกิจกรรมที่ บี.พี. นำมาสอนนั้น บี.พี. ต้องเตรียมล่วงหน้าเป็นอย่างดี ทุกเรื่อง และสุดยอดของกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน จะมารวมอยู่ที่การชุมนุมรอบกองไฟ (Camp Fire) ซึ่ง บี.พี. ถือว่าเป็นหัวใจของกิจกรรมทั้งหลาย เพราะเด็ก ๆ จะได้ผ่อนคลายความตึงเครียดจากที่ได้ฝึกอบรมมาทั้งวันทุกคนได้มีโอกาสสนุกสนานเฮฮากันเต็มที่ ในรูปแบบต่าง ๆ ของการลูกเสือ แล้วจบการชุมนุมรอบกองไฟด้วยการเล่านิทานอันเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้เด็ก ๆ ได้จดจำเป็นแนวปฏิบัติในชีวิตของตนภายภาคหน้าต่อไป
การเล่านิทานในการชุมนุมรอบกองไฟเช่นนี้ บี.พี. เรียกว่า Campfire Yarn และ Campfire Yarnn ของ บี.พี. ส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องการผจญภัยในชีวิตจริงๆ ของ บี.พี. เอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรักชาติ ความกล้าหาญ ความอดทน ความมีไหวพริบ ความเฉลียวฉลาดในการแก้ปัญหา ความรู้ความสามารถในวิชาเชิงพราน ความรอบรู้ในวิชาการลูกเสือทั้งหลาย เพื่อนำมาแก้ไขสถานการณ์ในชีวิตจริง ๆ ให้ได้ Campfire Yarn ของ บี.พี. จึงถือเป็นบทเรียนประจำวัน แลจะเรียงลำดับกันต่อ ๆ ไปทุกวัน เป็น Campfire Yarn ที่ 1, Campfire Yarn 2 , ที่ 3 ต่อ ๆ ไป จนก่อนถึงวันสุดท้ายของการอยู่ค่ายพักแรม การชุมนุมรอบกองไฟ ( Camp Fire ) จึงถือเป็นบทเรียนที่สำคัญยิ่งบทหนึ่งในการฝึกอบรมลูกเสือ และจะเป็นกิจกรรมที่สามารถปลูกฝังคุณธรรม ลักษณะนิสัย และจิตใจที่ดีให้แก่เด็กได้เป็นอย่างดี (Scouts Canada. 1977.) วิธีการต่าง ๆ ในการฝึกอบรมเด็ก ๆ ที่เกาะบราวน์ซี ในปี พ.ศ. 2450 นี้จึงเป็นวิธีการของลูกเสือ ที่ใช้เป็นแบบฉบับในการฝึกอบรมลูกเสือทุกหนทุกแห่ง จนถึงทุกวันนี้
-----------------------------------
{alertInfo}ผลของการอยู่ค่ายพักแรมทดลอง
การทดลองการอยู่ค่ายพักแรมของเด็กๆ ของ บี.พี. เป็นอันว่าสิ้นสุดลงในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2450 และผลของการทดลอง ฯ ก็ปรากฏให้เห็นถึงความสำเร็จตามมุ่งหมายที่บี.พี. ได้คิดและวางแผนไว้เป็นอย่างดี บรรลุเป้าหมายอย่างสมบูรณ์แบบ บี.พี. จึงรีบดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือคู่มือ “ การลูกเสือสำหรับเด็กชาย ” (Scouting for Boys) ให้จบสมบูรณ์โดยไม่ชักช้า เพื่อให้เด็ก ๆ ทั่วประเทศอังกฤษและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ได้อ่านและนำไปปฏิบัติกิจกรรมที่แนะนำไว้อย่างเป็นรูปธรรม จนกระทั่งกิจการลูกเสือของ บี.พี. ได้เจริญก้าวหน้าและขยายไปสู่เด็ก ๆ ทั่วทุกมุมโลก จนมีจำนวนลูกเสือไม่น้อยกว่า 17 ล้านคน จากประเทศสมาชิกขององค์การลูกเสือโลก 136 ประเทศในปัจจุบันนี้
{alertInfo}ที่มาครูสมชายคัดมาจาก: {getButton} $text={แหล่งที่มาข้อมูล} $icon={preview} $color={blue}{fullWidth}