ประวัติลูกเสือไทย

 

{alertSuccess}ประวัติลูกเสือไทย

4

การลูกเสือ ได้อุบัติขึ้นเป็นแห่งแรกของโลก โดยลอร์ดเบเดน โพเอลล์ (Lord Baden Powell) ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) สืบเนื่องจากการรบกับพวกบัวร์ (Boar) ในการรักษาเมืองมาฟิคิง (Mafeking) ที่อาฟริกาใต้ในปี พ.ศ. 2442 ซึ่งบี พี ได้ตั้งกองทหารเด็กให้ช่วยสอดแนมการรบ จนรบชนะข้าศึกเมื่อกลับไปประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2450 จึงได้ทดลองนำเด็กชาย 20 คน ไปอยู่ค่ายพักแรมที่เกาะบราวน์ซี Browmsea Islands) ซึ่งได้ผลดีตามที่คาดหมายไว้ ปี พ.ศ. 2451 บี พี จึงได้ตั้งกองลูกเสือขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ที่ประเทศอังกฤษ

พระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ทวีปยุโรป ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้ทรงทราบเรื่องการสู้รบเพื่อรักษาเมืองมาฟิคิง (Mafeking) ของ ลอร์ดเบเดน โพเอลล์ (Lord Baden Powell) ซึ่งได้ตั้งกองทหารเด็กเป็นหน่วยสอดแนม    ช่วยรบในการรบกับพวกบัวร์ (Boar) จนประสบผลสำเร็จ และได้ตั้งกองลูกเสือขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2450 เมื่อพระองค์เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทย ก็ได้ทรงจัดตั้งกองเสือป่า (Wild Tiger Corps) ขึ้น เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2454 มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกหัดให้ข้าราชการและพลเรือนได้เรียนรู้วิชา ทหาร เพื่อเป็นคุณประโยชน์ต่อบ้านเมือง รู้จักระเบียบวินัย มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ก็ได้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2454 ด้วยทรงมีพระราชปรารภว่า เมื่อฝึกผู้ใหญ่เป็นเสือป่า เพื่อเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือชาติบ้านเมืองแล้ว  เห็นควรที่จะมีการฝึกเด็กชายปฐมวัยให้มีความรู้ทางเสือป่าด้วย เมื่อเติบโตขึ้นจะได้รู้จักหน้าที่และประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง
จากนั้น ทรงตั้งกองลูกเสือกองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (โรงเรียนวชิราวุธ   ในปัจจุบัน) และจัดตั้งกองลูกเสือตามโรงเรียน ต่าง ๆ ให้กำหนดข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือขึ้น รวมทั้งพระราชทาน คำขวัญให้ลูกเสือว่า “เสียชีพ อย่าเสียสัตย์ ”    ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นลูกเสือไทยคนแรก คือ นายชัพท์ บุนนาค ซึ่งต่อมา ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “นายลิขิตสารสนอง”

ปี พ.ศ. 2463 ได้จัดส่งผู้แทนคณะลูกเสือไทย จำนวน 4 คน ไปร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลก ครั้งที่ 1 (1st World Scout Jamboree) ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกของโลก ณ อาคารโอลิมเปีย กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ปี พ.ศ. 2465 คณะลูกเสือไทย ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมัชชาลูกเสือโลก ซึ่งขณะนั้นมีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 31 ประเทศ ประเทศทั้ง 31 ประเทศนี้ นับเป็นสมาชิกรุ่นแรก หรือสมาชิกผู้ก่อการจัดตั้ง (Foundation Members) สมัชชาลูกเสือโลกขึ้นมา

ปี พ.ศ. 2467 ได้จัดส่งผู้แทนคณะลูกเสือไทย 10 คน ไปร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลก ครั้งที่ 2 ณ ประเทศเดนมาร์ก

ปี พ.ศ. 2468 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2468

-----------------------------------

{alertInfo}รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

7
พุทธศักราช 2468
        พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรับราชภาระต่อจาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ โดยทรงรับตำแหน่งเป็น นายกสภากรรมการกลางลูกเสือ ซึ่งมีหน้าที่กำหนดนโยบาย และอนุมัติงบประมาณ
ทรงโปรดเกล้าให้คัดเลือกนักเรียน 2 คนเข้า ร่วม ประชุมในเรื่องเกี่ยวกับลูกเสือรุ่นใหญ่ ที่ประเทศอังกฤษ คือ นายปุ่น มีไผ่แก้ว และ นายประเวศ จันทนยิ่งยง

พุทธศักราช 2469
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ คัดเลือก นักเรียนไทย ที่ศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเคยเป็นรองผู้กำกับ หรือนายหมู่ลูกเสือเอก ไปเข้าร่วมงานชุมนุมลูกเสือนานาชาติ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 22 -28 สิงหาคม

พุทธศักราช 2470
ทรงพระกรณาโปรดเกล้าให้มีการจัดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติขึ้น ในราชพิธีฉัตรมงคล ซึ่งถือเป็นการจัดงานชุมนุมเป็นครั้งแรกของประเทศ ซึ่งมีลูกเสือ 14 มณฑลเข้าร่วม ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม เนื่องจากงานชุมนุมนี้ได้ผลดีอย่างยิ่ง จึงทรงให้มีการจัดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติขึ้น ทุกๆ 3 ปี
พุทธศักราช 2470
จัดให้มีการอบรมวิชาผู้กำกบขึ้น ณ สมัคยาจารย์สมาคม
พุทธศักราช 2473
จัดชุมนุมลูกเสือแห่งชาติครั้งที่ 2 ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ และพระราชทานบริเวณพระรามราชนิเวศน์ จ.เพชรบุรี (พระราชวังบ้านปืน) เป็นสถานที่อบรมวิชาผู้กำกับลูกเสือ

พุทธศักราช 2475
      เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองทำให้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทานอำนาจการปกครองให้ประชาชน อันทำให้ตำแหน่งนายกสภากรรมการกลางจัดการลูกเสือแห่งชาติ ต้องยุติไปด้วย แต่ต่อมาได้ทรงโปรดเกล้าให้อธิบดีกรมพลศึกษา

5ดำรงตำแหนงอุปนายกสภากรรมการกลางจัดการลูกเสือแห่งชาติและต่อมากองลูกเสือจึงตกอยู่ในการบริหารจัดการของกรมพลศึกษา นับแต่บัดนั้น (กรมพลศึกษาเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และเมื่อกิจการลูกเสือเติบโตขึ้นจึงได้โอนย้ายออกมาจัดตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อรับผิดชอบกิจการลูกเสือโดยตรง ได้แก่ คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการเช่นกัน)

พุทธศักราช 2477
ทรงโปรดเกล้าฯใหม่การจัดตั้งกองลูกเสือเหล่าสมุทรเสนาในจังหวัดชายทะเล หลังจากนั้น เพียง 7 วัน พระองค์ก็ได้ทรงสละราชสมบัติ

-----------------------------------

{alertInfo}รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ครั้นมาถึงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจาอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ที่ทรงเสด็จขึ้นเสวยสิริราชสมบัติ ต่อจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระองค์ทรงปฏิบัติราชภารกิจในฐานะกษัตริย์ ในหลายๆด้าน กิจการลูกเสือเป็นกิจการที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อันส่งผลในการกระตุ้นให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องมีความกระตือรือล้น ซึ่งนั่นเป็นการส่งสัญญาณว่ากิจการลูกเสือจะได้รับการฟื้นฟูให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพียง 1 ปี หลังจากการขึ้นครองราชย์ รัฐบาลที่มี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำ ได้ออกพระราชบัญญัติ ปี พ.ศ. 2490 ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายกับพระราชบัญญัติ ปี พ.ศ.2482 แต่มีสาระที่เพิ่มขึ้นคือ8

“กำหนดให้พระมหากษัติรย์ทรงดำรงตำแหน่งบรมราชูปถัมภ์คณะลูกเสือแห่งชาติ” กิจการยุวชนทหารจึงได้ถูกยุบลงไปโดยปริยาย ทำให้ลูกเสืออกลับมามีบทบาทในสังคมอีกครั้ง รวมทั้งได้ทรัพย์สินที่เคยถูกถ่ายโอนให้ไปอยู่รวมกับยุวชนทหารกลับคืนมาด้วย   หลังจากกิจการลูกเสือถูกปลุกให้ฟื้นคืนมา ก็ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนได้มีการจัดตั้งกองลูกเสือในโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศ แม้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯเอง ก็ยังทรงจัดตั้งกองลูกเสือขึ้นในโรงเรียนจิตรลดา และโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจาฟ้าวชิราลงกรณฯ (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารฯ) ทรงสมัครเข้าเป็นลูกเสือด้วย ในปี พ.ศ. 2507 รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติอีก 1 ฉบับ เพื่อปรับปุรงกฎหมายว่าด้วยกิจการลูกเสือให้ทันสมัยและทันเหตุการณ์ยิ่งขึ้น

โดยมาตรา 5 กำหนดให้คณะลูกเสือแห่งชาติ ประกอบด้วยลูกเสือทั้งปวง ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ ผู้ตรวจการลูกเสือ กรรมการลูกเสือ และเจ้าหน้าที่ลูกเสือ และมาตรา 8 กำหนดใหพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของคณะลูกเสือแห่งชาติ

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่ 9 นั้นมีสิ่งที่บ่งบอกถึงพัฒนาการอันสำคัญของกิจการลูกเสือในประเทศ และนับเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีกิจการลูกเสือประเภทนี้ คือ การก่อตั้งกิจการลูกเสือชาวบ้าน ซึ่งก่อตั้งในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2514 ที่หมู่บ้านเหล่ากอหก ตำบลแสงพา กิ่งอำเภอนาแห้ว อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ด้วยการจัดทำหลักสูตรและฝึกอบรม ลูกเสือชาวบานนั้นจะแต่งกายอย่างไรก็ได้ที่สุภาพเรียบร้อย ข้อสำคญต้องมีผ้าผูกคอ ว๊อคเกิ้ลรูปหน้าเสือ ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ลูกเสือรุ่นแรกที่หมู่บ้านเหล่ากอหกนั้น มีมุมผ้าผูกคอเป็นรูปพระแก้วมรกตเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งหมายถึงประชาชนในผืนแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถเข้ารับการฝึกอบรมและเป็นลูกเสือชาวบ้านได้

นอกจากนี้กิจการลูกเสือของไทยยังก้าวหน้าทั้งในระดับชาติและระดับสากล เจ้าหน้าที่ลูกเสือของไทยมีโอกาสเข้าร่วมงานลูกเสือระดับโลก และขณะที่งานลูกเสือระดับโลกหลายงานก็มาจัดขึ้นที่เมืองไทยเช่นกันและพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับลูกเสือนั้น ก็ไม่ใช่จะเพียงแค่รู้กันในหมู่คนไทย หากแต่ลูกเสือทั่วโลกก็ได้ยิน ได้ฟังและได้รู้ ในสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบติเช่นกัน และเหตุการณ์ที่โลกต้องจารึกไว้สำหรับพระมหากษัตริย์ผู้ที่ทรงงานอันส่งเสริมกิจการลูกเสือให้ก้าวหน้าพัฒนา คือการทูลเกล้าถวายเครื่องหมายวู๊ดแบดจ์ ชั้นพิเศษ 4 บีด ในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2511 จากศูนย์ฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือนานาชาติ กิลเวลล์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งไม่เคยมีใครที่จะได้รับถ้าไม่ได้ผ่านการฝึกอบรม และไม่เคยถวายแด่พระประมุขของประเทศใดเลย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นบุคคลแรกของโลกที่ได้รับเกียรตยศอันสูงส่งนี้
และอีกครั้งหนึ่งในปี มหามงคลการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกและพระองค์เดียวในโลก (ปี พ.ศ. 2549) ที่ทรงครองราชยสมบัติยาวนานที่สุด ประเทศไทยจึงได้มีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่และมีการเฉลิมฉลองกันทั้งปี ในวันที่ 20 มิถุนายน พระราชาธิบดี คาร์ล ที่ 16 กุสตาฟ (กษัตริย์) แห่งสวีเดน เสด็จมาเพื่อเข้าเฝ้าในฐานะประธานกิตติมศักดิ์ ของมูลนิธิลูกเสือโลก (World Scout Foundation) เพื่อทูลเกล้าถวายอิสริยาภรณ์สดุดึลูกเสือโลก หรือ บอร์น วูฟ (The Bronze Wolf) ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปสุนัขจิ้งจอก สีบอร์น ประดับอยู่บนสายริบบิ้น

11พื้นคล้องคอสีเขียว ที่มีปลายสีเหลือง เป็นอิสริยาภรณ์ที่คณะกรรมการลูกเสือโลกพิจารณามอบให้เป็นเกียรตแก่บุคคลที่มีผลงานโดดเด่นทางด้านการสนับสนุนกิจการลูกเสือ โดย BP ประมุขตลอดกาลของลูกเสือโลกเป็นผู้ริเริ่มในการมอบมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 และมีคนไทยเพียงไม่กี่คนที่เคยได้รับเครื่องหมายอันทรงเกิยรตินี้ โดยคนแรกที่ได้รับคือ นายอภัย จันทวิมล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศกษาธิการ ในปี พ.ศ. 2514


-----------------------------------

{alertInfo}พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล

       12
สมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
อาจกล่าวได้ว่ากิจการลูกเสือในยุคนี้เป็นยุคที่มีความเคลื่อนไหว ตลอดจนพัฒนาการแห่งคณะลูกเสือน้อยที่สุด ด้วยเหตุว่า 

  1. เกิดสงครามข้อพิพาทดินแดนในอินโดจีน ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2482
    2. เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2484
    3. ยุคเริ่มต้นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ก่อให้เกิดระบอบการเมือง ที่มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ทำให้ต้องยุบสภาและเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยๆ เมื่อการเมืองไม่นิ่งสงบทำให้ไม่มีใครเข้ามาดูแลกิจการลูกเสืออย่างจริงจัง เพราะอำนาจในการบริหารเปลี่ยนมือตลอดเวลา
    4. รัฐบาลในยุคนั้นก่อตั้งกิจการยุวชนทหาร เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่รุนแรงของโลก ซึ่งได้ทับซ้อนกับกิจการลูกเสือ จนถึงที่สุดก็ได้ยุบกิจการลูกเสือให้เป็นเพียงหน่วยหนึ่งในกิจการยุวชนทหาร
    5. รัชสมยของพระองค์นั้นสั้นมากโดยสิ้นสุดลงในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 รวมเวลาในการครองสิริราชสมบัติเพียง 9 ปี
    แต่อย่างไรก็ดียังมีปรากฏการณ์สำคัญของกิจการลูกเสือที่ต้องจารึกไว้คือ

14

 

1. การมีตราสัญลักษณ์ประจำคณะลูกเสือเป็นครั้งแรก เพื่่อให้เข้ากับหลักสากลที่ลูกเสือทั่วโลกต่างก็มีตราสัญลกษณ์ของตนเองทั้งสิ้น โดยใช้สัญลกษณ์ลูกเสือโลก คือรูป เฟอร์ เดอ ลีร์ ประกอบกับรูปหน้าเสือ มีอักษรจารึกด้านล่างว่า เสียชีพอย่าเสียสัตย์

2. มีการออกพระราชบัญญัติลูกเสือขึ้นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2482 มีสาระคือ การกำหนดให้คณะลูกเสือแห่งชาติมีสภาพเป็นนิติบุคคล และโอนทรัพย์สินทั้งหลายในกิจการเสือป่าให้ตกเป็นของคณะลูกเสือแห่งชาติ เนื่องจากกิจการเสือป่าหยุดลงไป และไม่มีใครใส่ใจดูแล

3. ปี พ.ศ. 2479 เมื่อถึงวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันกำเนิดลูกเสือ แต่ทางคณะลูกเสือไม่สามารถจัดงานใหญ่ได้ เพราะสถานการณ์การเมืองและสถานการณ์ที่ตึงเครียดทั่วโลก จึงได้เปลี่ยนใหม่การจัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยหัวฯ องค์ใหญ่ โดยประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเทิดพระเกียรติและประดิษฐานไว้ที่หน้าสวนลุมพีนี จนปัจจุบัน


{alertInfo}ที่มาครูสมชายคัดมาจาก: {getButton} $text={แหล่งที่มาข้อมูล} $icon={preview} $color={blue}{fullWidth} 

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า